ที่มา : ข่าวสดออนไลน์

 

ขึ้นชื่อว่าแดดประเทศไทย ต่อให้ฤดูร้อน ฝน หรือหนาว ก็ดูจะร้อนจนทำร้ายสุขภาพผิวและกายได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคปัจจุบันที่ทุกคนต่างต้องเผชิญกับภาวะเรือนกระจก ยิ่งต้องดูแลตัวเองไว้ให้มาก

ผศ.พญ.พลอยทราย รัตนเขมากร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผิวหนัง หน่วยโรคผิวหนัง โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ความรู้ว่า ที่ผ่านมาหลายคนรู้ดีว่าในแสงแดดมียูวีเอ และยูวีบี ที่จะทำร้ายผิวของเราให้เสียได้

โดย "ยูวีเอ" ผ่านจากดวงอาทิตย์ในปริมาณที่มากกว่า สามารถทะลุกระจกได้ และอาจทำให้ผิวเป็นฝ้า กระ และดำ ขณะที่ "ยูวีบี" แม้จะส่องมาถึงโลกน้อยกว่า ไม่ส่องทะลุกระจก แต่ทำให้ผิวไหม้และเป็นมะเร็งผิวหนังได้มากกว่า

"ที่ผ่านมาเมื่อมีภาวะโลกร้อนมากขึ้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาว่า รังสีอินฟราเรด  ที่อยู่บนโลกมานานแล้วนั้นมีผลใดๆ หรือไม่ เพราะเป็นรังสีที่ผ่านมายังโลกมากที่สุดถึง 50% และจากการทดลองก็พบว่ารังสีอินฟราเรดทำให้ผิวดำ ไหม้ และคอลลาเจนในเนื้อผิวหายไปสร้างริ้วรอยได้มากด้วย ซึ่งแสงเหล่านี้เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและต้องรับมาพร้อมๆ กันทั้ง 3 ตัว"

ผศ.พญ.พลอยทราย แนะนำว่าเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่อาจมาจากแสงแดด เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเองที่อาจถูกกระตุ้นได้เมื่อเจอแดด โรคแพ้แดดและริ้วรอยต่างๆ แนะนำให้อยู่ในที่ร่ม ใส่หมวกปีกกว้าง กางร่มสีเข้ม ใส่เสื้อแขนยาว โดยเฉพาะกับปัจจุบันมีเสื้อกันแดด สามารถสะท้อนแดดได้ ดูได้จากสัญลักษณ์ ยูพีเอฟ

ที่สำคัญคือการทาครีมกันแดด แม้จะไม่อยู่กลางแจ้งก็ตาม นอกจากนี้เนื่องจากรังสีอินฟราเรดมีประโยชน์ในการช่วยเบิร์นไขมัน กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และมักใช้ในโยคะร้อน เครื่องสลิมมิ่ง สปอตไลต์ จอคอมพ์หรือที่ที่มีไอร้อน จึงต้องระมัดระวังทาครีมกันแดดป้องกันไว้ด้วย

"การทาครีมกันแดดอาจช่วยได้บ้าง แต่อยู่ได้เพียง 2 ชั่วโมง ซึ่งจำเป็นต้องทาทับตลอดทั้งวัน โดยนอกจากเลือกผลิตภัณฑ์ที่เขียนว่า พีเอ++ เพื่อป้องกันยูวีบี, เอสพีเอฟ ป้องกันยูวีเอแล้ว ก็ควรเลือกที่เขียนว่าแอนตี้ อินฟราเรดด้วย เพื่อป้องกันให้ได้สูงสุด แม้ปัจจุบันจะไม่มีโลชั่นกันแดดใดที่ปกป้องได้หมดทุกระดับ 100% นอกจากนี้การใช้ก็ต้องใช้ให้ถึงปริมาณ 2 ข้อนิ้วต่อการทาทั่วหน้าด้วย เพราะสำหรับประเทศไทยแล้วไม่ว่าฤดูใดก็ร้อนเหมือนกัน" ผศ.พญ.พลอยทรายกล่าว

 

ที่มา : thaihealth