ย่องเงียบเข้าพิธีหมั้นแบบสายฟ้าแลบกับหวานใจหนุ่มรุ่นน้องชาวมาเลย์ "มูฮาหมัด ฮากีม บินอาซาฮา"ไปเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ล่าสุดนักแสดงสาว "" ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนให้ฟังถึงเรื่องเส้นทางรักในครั้งนี้ให้ฟังว่า คบหากันได้ยังไม่ถึงปี แต่เชื่อมั่นฝ่ายชายเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย และเป็นคนดี จึงทำให้ตัดสินใจตอบตกลงในวันที่เขาขอแต่งงาน อายุห่างกัน 15 ปีไม่ใช่ปัญหา ด้านลูกชายทั้งสองและครอบครัวไม่มีปัญหา พร้อมเผยแพลนแต่ง วันที่ 9 กรกฎาคม ณ ประเทศมาเลเซีย

 

"ก่อนอื่นต้องขอโทษหลายๆ ท่านด้วย ที่อาจจะไม่ได้บอกทั้งหมด จริงๆ ตอนแรกเราก็ไม่คิดว่าจะได้บอกใครในส่วนของตอนหมั้น เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง มันไม่ใช่การแต่งงานครั้งแรก เลยรู้สึกว่ามันแปลกๆ ที่จะพูด ถามว่าใจจริงอยากพูดไหม เราก็อยากพูดทุกคนแหละค่ะ สำหรับผู้หญิงเวลาที่มีเรื่องราวดีๆ แบบนี้ ยังไงต้องขอโทษพี่ๆ สื่อทุกคนที่ได้ร่วมงานกันมา ไม่ได้ตั้งใจจะปกปิด เพราะงานหมั้นที่เกิดขึ้นไม่เชิงว่าจะเป็นงานใหญ่โต อย่างเสื้อผ้าที่ใส่ในวันหมั้นก็เป็นชุดที่มีอยู่แล้วในตู้ เป็นชุดเที่ยวธรรมดา แค่เป็นการทานข้าวกันระหว่างสองครอบครัวและเพื่อนไม่เกินสิบคนเท่านั้นเอง ถือว่าเป็นสไตล์ที่เรียบง่ายแบบของนุ๊ก"

แพลนมานานหรือยัง?
"เราคุยกันว่าจะแต่งหรือไม่แต่งตั้งแต่แรกๆ ที่คบกัน เขาจะถามเราเสมอว่าซีเรียสไหม แต่ตอนนั้นนุ๊กยังไม่ได้ตอบอะไร เป็นการคุยกันเรื่อยๆ ทุกเดือน จนถึงวันที่ 13 มีนาคม เขาคุกเข่าขอแต่งงาน"

รู้จักได้อย่างไร?
"ก่อนอื่นต้องขอแก้ข่าวนิดนึง ว่าเขาไม่ใช่มหาเศรษฐี เป็นแค่คนธรรมดา มีอาชีพเป็นตากล้องถ่ายภาพนิ่ง เงินเดือนเท่าตากล้องปกติทั่วไป ไม่ได้รวยเลย รวมทั้งทางพื้นฐานครอบครัวก็ไม่ได้รวย เรารู้จักกันตอนฝ่ายชายไปแข่งกีฬาที่สิงคโปร์ นุ๊กก็ไปเชียร์แข่งกีฬาที่สิงคโปร์เหมือนกัน เป็นกีฬาสตรีทเวิร์คเอ้าท์เอเชีย มีหลายประเทศมาแข่งรวมกัน มีนักกีฬาของประเทศไทยไปคนเดียว เราก็ไปกับกรุ๊ปคนไทย เราไปเจอกันที่นู้น ทางฝ่ายชายเข้ามาขอถ่ายรูป หลังจากนั้นเขาก็อินบล็อกเข้ามาทางไอจีหลักที่แยกย้ายกันกลับ"

ประทับใจอะไรในตัวเขา ถึงได้สานสัมพันธ์ต่อ?
"ตัวนุ๊กตอนนั้นไม่ได้มองใคร ไม่ได้คิดจะมีแฟนเลย และไม่คิดเรื่องการแต่งงานใหม่เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ส่วนของฝ่ายชายเขาคงเห็นว่าผู้หญิงคนนี้สวยจัง(หัวเราะ) อีกอย่างคงเห็นว่าเราเป็นมุสลิม เพราะตอนนั้นไปเราคลุมผ้าไปด้วย เขาบอกว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เขากล้าที่จะเข้ามาคุย เพราะถ้าเป็นผู้หญิงที่อยู่กันคนละศาสนามันก็คงเป็นไปไม่ได้ ตอนคุยกันแล้วนุ๊กประทับใจที่เขาสม่ำเสมอ เลยเริ่มคุยกันมากขึ้นเรื่อยๆ"

ด้วยความที่เขาอายุน้อยกว่า ตอนนั้นเราคิดเรื่องนี้บ้างไหม?
"คิดค่ะ จริงๆ คิดมาเสมอว่าอยากได้คนที่อายุมากกว่า อยากได้คนที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะชีวิตเราเหนื่อยมาเยอะแล้ว ถ้ามีคนดูแลได้ก็คงจะดี แต่ไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินทองนะคะ เพราะเราก็เชื่อมั่นว่าเราเป็นผู้หญิงเก่ง แต่ทำไมไม่รู้ไม่เคยมีผู้ใหญ่มาจีบเลย แรกๆ ที่เราไม่ค่อยคุยกับเขาเยอะ เพราะเขาอายุน้อยกว่า ทำให้รู้สึกว่ายังไงก็เสียเวลาเปล่า แต่คุยไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าเขาเป็นคนใจเย็นมาก เป็นคนใจดี อาจจะมีอารมณ์ร้อนบ้าง แต่โดยรวมแล้วเขามีวุฒิภาวะที่มากกว่าอายุ"

ระยะเวลาที่คบกันมา นานเท่าไหร่?
"เจอกันครั้งแรกเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วค่ะ และคุยกันประมาณ 2-3 เดือน ในฐานะเพื่อน และเริ่มมาคุยกันจริงจัง"

เขาทราบได้อย่างไรว่าเราเคยผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว?
"รู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทักมาในไอจี เพราะครั้งแรกที่เขาทักมาเราถามเขาเลยว่า รู้ไหมเราอายุเท่าไหร่ และรู้ไหมว่าเรามีลูกแล้ว เขาบอกว่าเขารู้"

ทางด้านครอบครัวเขา เป็นอุปสรรคไหมพอทราบว่าเรามีครอบครัวมาแล้ว?
"นุ๊กว่านุ๊กโชคดีมาก ถึงแม้ว่าฝ่ายชายอาจจะไม่ใช่คนร่ำรวย แต่เขามีครอบครัวที่น่ารัก เป็นอะไรที่ใสๆ บ้านๆ จริงใจ และอบอุ่น เรากล้ากอดคุณแม่เขาอย่างสนิทใจ และรู้สึกอบอุ่น"

ลูกของเราว่าอย่างไรบ้าง?
"นุ๊กว่าโชคดีตรงที่ว่าสิ่งที่ฝ่ายชายเขาผ่านเราจริงๆ คือเป็นเรื่องลูก เพราะเรามีลูกมาก่อนและไม่เคยคิดว่าใครจะมาดูแลลูกเราได้ดีเท่าเรา แต่วันนึงเรารู้สึกว่าคนๆ นี้ อาจจะไม่ได้มาซับพอร์ตเรื่องบางเรื่องได้ แต่ในเรื่องของจิตใจ การเลี้ยงดู เรารู้สึกว่าเราไม่ต้องบังคับ เพราะเขามีความรับผิดชอบ สิ่งแรกที่เราตัดสินใจคือเรื่องลูก ลูกกับเขาสามารถเข้ากันได้ดีถึงแม้จะไม่ได้เจอกันบ่อย เพราะอยู่คนละประเทศ แต่เวลาได้เจอกันทางผู้ชายก็ชอบกีฬา เราก็ชอบกีฬา ทำให้เด็กได้สนุกกับการเล่นกีฬาและการทำกิจกรรม"

อะไรที่เขาเอาชนะใจลูกเราได้?
"น่าจะเป็นเรื่องของความจริงใจ เพราะเด็กก็คงไม่มีอะไรมาก แค่เล่นกับเขา จริงใจกับเขา แค่นั้นเขาก็คงโอเค แรกๆ ลูกเราก็แอบช็อคเหมือนกัน เพราะว่าเด็กๆ เจอผู้ชายในชีวิตของแม่ไม่กี่คน ลูกคิดมาเสมอว่า พี่โก้ ธีรศักดิ์ เป็นแฟนกับแม่ เพราะเป็นผู้ชายที่เจอบ่อยที่สุด แรกๆ เด็กก็จะถามว่าใคร เขาคือใคร เพราะเขาจะเห็นเราสไกป์กันทุกวัน เขาก็จะสงสัย พอเขารู้เขาจะบอกไม่เอา หวงแม่ แต่นุ๊กก็แกล้งบอกเขาว่า งั้นจะไม่คุยเลยนะ แต่ลูกก็บอกไม่เอา เก็บไว้ก่อน พอเราตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ เราก็บอกลูกเป็นคนแรก และค่อยบอกคุณพ่อคุณแม่ตัวเอง เพราะสำหรับนุ๊ก ลูกสำคัญที่สุด ถามว่าคิดยังไงถ้าเราจะเป็นคนครอบครัวกันจริงๆ ลูกก็ค่อนข้างรอคอยเพราะเขาค่อนข้างวาดฝันว่ามันจะต้องมีความสุข"

กลัวคนจะมองว่ามันเร็วเกินไปไหม?
"ด้วยความที่เราไม่ได้ดูปัจจัยภายนอกเลย เราดูที่วุฒิภาวะ ความชอบ และนิสัยที่เหมือนกัน การแต่งงานครั้งนี้เกิดจากความรัก เลยรู้สึกว่าเวลาเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะการันตีว่าเราจะมีความสุขหรือเปล่า"

แพลนงานแต่งหลังจากนี้เป็นอย่างไร?
"วันแต่งเป็นวันที่ 9 เดือน 7 ที่มาเลเซีย หลังจากแต่งงานแล้ว ดูจากสภาพเศรษฐกิจก็จะอยู่เมืองไทย เพราะลูกเราเรียน และมีงานของเราด้วย ต้องขอบคุณฝ่ายชายด้วย ถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำงานใหญ่โต ไม่ได้มีเงินเดือนมากมาย แต่เขาเสียสละชีวิตของเขาที่จะย้ายมาอยู่เมืองไทย เพราะการที่เขาต้องเปลี่ยนทุกอย่างเลย ถือเป็นการเสียสละมากสำหรับเขา พอย้ายมาอยู่เมืองไทยก็ต้องดูบ้านกันอีกที และต้องช่วยกันดูแลลูก"

ฝ่ายชายวางแผนในการมาทำงานที่ประเทศไทยยังไง?
"ด้วยความที่อาชีพเขาเป็นตากล้อง อาจจะไปสมัครเป็นตากล้องของพี่ปลา ฟินนาเร่(หัวเราะ) และในส่วนของยิม เขาเคยเป็นเทรนเนอร์และนักกีฬาด้วย อาจจะหนักมาในทางของยิมหรือการเป็นเทรนเนอร์"

ย้อนกลับไปถามตอนคุกเข่าแต่งงาน เกิดขึ้นที่ไหน?
"ที่มาเลเซียค่ะ วันนั้นนั่งอยู่เขาก็มาสะกิดเก้าอี้ เราก็หันไปแบบใครหาเรื่อง พอเราเห็นกล้องมือถือ เราก็รู้แล้วแหละว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ และหลังจากนั้นก็หูอื้อ แต่รู้สึกว่าเขาถามอยู่นานมาก เราจะพูดว่าตกลงตั้งแต่ที่เห็นกล้องแล้วค่ะ(หัวเราะ) แต่มันพูดไม่ออก สุดท้ายเลยพยักหน้า"

อนาคตวางแพลนว่าจะมีลูกอีกไหม?
"ตามหลักแล้วการมีลูกจะเป็นของขวัญของพระเจ้า อันนี้ก็ต้องสุดแบ้วแต่พระเจ้า ถ้าถามนุ๊ก นุ๊กก็เฉยๆ นะคะ แต่ถ้าถามถึงฝ่ายชายก็คงตื่นเต้น ถ้านุ๊กเลือกได้ นุ๊กก็คงอยากได้ผู้หญิง เพราะตอนนี้นุ๊กมีผู้ชาย 2 คนแล้ว"

ฝ่ายชายให้แหวนกี่กะรัต?
"ไม่ถึงกะรัตหรอกค่ะ เขาเป็นตากล้อง ก็น่ารักๆ"

เพราะเรื่องศาสนาที่ตรงกัน เลยทำให้เราตัดสินใจง่ายขึ้นใช่ไหม?
"ใช่ค่ะ มันอาจจะเป็นดวง หรือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว เพราะเรารู้สึกว่าเราจะไม่มีแฟนต่างศาสนา เป็นคนมีความเชื่อว่าถ้ามีแฟนก็ต้องมีแฟนศาสนาเดียวกัน และเราจะไม่เปลี่ยนศาสนาของเราเพื่อใคร ทางฝ่ายชายเขาก็คิดเหมือนกัน เราเลยบังเอิญได้มาเจอกัน"

เรื่องงานเรางดเซ็กซี่เลยใช่ไหม?
"โดยปกติแล้วนุ๊กก็ไม่ค่อยมีงานเซ็กซี่อยู่แล้วแต่ไหนแต่ไร แต่อาจจะต้องมีคุยเยอะขึ้นบ้างในหลายๆ เรื่อง เพราะบางงานที่เราคุยกันไว้ก่อนที่นุ๊กเปลี่ยนศาสนา มันก็อาจจะมีปัญหาบ้างเหมือนกัน เพราะตอนนี้เราเลยต้องคุยรายละเอียดกัน"

งานในวงการยังทำต่อใช่ไหม?
"ค่ะ ก็ยังมีงาน ตอนนี้มีละครที่รับเอาไว้นานแล้ว และกำลังค่อยๆ ทยอยถ่าย และก็มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของตัวเอง"

ฝ่ายชายทราบไหมว่าเราเป็นนักแสดง?
"เขาก็เพิ่งรู้ตอนที่เขามาเห็นในไอจี เขาสงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้คนตามเยอะจัง"

มั่นใจใช่ไหมว่าเขาไม่ได้มาหลอกเรา?
"ก็มั่นใจนะคะ แต่ถามว่าชีวิตคู่มันจะประสบความสำเร็จไหม นุ๊กเชื่อว่าทุกคู่ที่ตกลงอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะคู่ที่ไม่ได้มีความหมายอื่นเลยนอกจากความรัก ก็คงคิดว่ามันน่าจะรอด ปลอดภัย อยู่กันจนถึงโลกหน้า แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครให้ความมั่นใจได้ ขนาดตัวเราเองยังเปลี่ยนตัวเราเองทุกวัน เพราะฉะนั้นขอให้มันเป็นอย่างที่เราหวังไว้ดีกว่า"

อนาคตจะได้เห็นฝ่ายชายออกสื่อบ้างไหม?
"น่าจะได้เห็นช่วงเดือนหน้า ตอนเราไปลองชุดแต่งงานกันที่ฟินนาเร่"

ครอบครัวนุ๊กเอง ว่าอย่างไรบ้างก่อนที่จะมีการหมั้นเกิดขึ้น?
"นุ๊กโชคดีที่คุณแม่จะพูดกับนุ๊กเสมอว่า เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นคุณแม่จะไม่ได้สนเรื่องฐานะเงินทอง เขาจะสนที่ว่าเราได้คบคนดีๆ วันที่เราบอกเขาว่าจะหมั้นกับคนนี้ คุณแม่ก็พูดว่า ขอให้เขาเป็นคนดีก็พอแล้ว เพราะแม่เชื่อว่าถ้าเราได้คบคนดี เราก็จะมีความสุข ส่วนเรื่องอื่นๆ แม่เชื่อว่านุ๊กเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง น่าจะไม่ลำบากอยู่แล้ว"

 

ขอบคุณภาพจาก :  nook_suttida , news.sanook

ที่มา : http://news.sanook.com/